คนไทยส่วนใหญ่ตื้นเขินเกินไปกับคำคมที่บาดใจ

คนไทยส่วนใหญ่ตื้นเขินเกินไปกับคำคมที่บาดใจ

เมื่อก่อน ผมก็เป็นคนหนึ่ง ที่หลงในความเท่ห์ของพวกคำคมคำสอนที่เก๋ๆแบบนั้น เพราะว่าเป็นเรื่องจริงจากคนที่ประสบความสำเร็จจริง เราก็เชื่อเค้าสิครับ เพราะว่าเค้าพิสูจน์ให้เราเห็นแล้ว ว่าเค้าสามารถทำได้ แม้ว่าไม่ต้องเรียนก็ตาม ดังตัวอย่างต่อไปนี้

Bill Gate ก็สำเร็จได้ โดยไม่ต้องเรียนให้จบ

Bill Gate เจ้าของ Microsoft ที่เราก็รับรู้กันมานานแล้ว ว่าเค้าเรียนไม่จบแต่เค้าเป็นเจ้าของ Microsoft ที่ผลิต Windows ให้เราใช้ทุกวันนี้ รวยระดับโลก เรียกได้ว่า ไม่ต้องทำงานชั่วชีวิต ก็ยังใช้เงินที่มีไม่หมดเลย ทำเอาคนที่ได้ฟังเรื่องแบบนี้ ก็ฟิน และจินตนาการต่อเอาว่า เราไม่ต้องเรียนให้จบก็ได้นะ เดี๋ยวเราก็สำเร็จเหมือนกับเค้านี่แหล่ะ สบายจุง แต่จะมีสักกี่คน ที่รู้ว่า เบื้องหลังเค้าก็คือ พ่อรวย แม่รวยอยู่ก่อนแล้ว โดยตอนที่ Gate เรียนมหาลัย พ่อของ Gate เป็น Board ของ PPFA และเป็น Co-Founder ของ  Preston Gates & Ellis LLP แน่นอนว่า สามารถมีแรงหลักดันได้ไม่ยาก ส่วนทางแม่น่ะเหรอ ก็ไม่ได้น้อยหน้าเลย ตอนนั้นเป็น Board ของ University of Washington และยังเป็น Board และ ประธานบอร์ดอีกหลายบริษัท หลายองค์กรควบกันไป ดังนั้นเรื่องการเงินสนับสนุนล่ะก็ไม่มีปัญหาแน่นอน และเรื่องการผลักดัน ที่ไม่มีใครรู้ว่าช่วยผลักดันอย่างไรบ้าง แต่ก็ต้องมีผลบ้างไม่มากก็น้อยแน่นอน เพราะว่าโอกาสเค้ามีมากกว่า ลูกชาวบ้านตาดำๆ (คนที่มี connection เยอะๆจะเข้าใจเรื่องที่ผมพูดได้ดี)

จริงอยู่ว่าพ่อแม่ Bill Gate ไม่ได้สร้าง Microsoft ให้เค้า แต่คุณลองนึกถึงบ้านที่พ่อแม่รวย มีหน้ามีตา ฐานะในสังคม ที่เลี้ยงลูกได้สบาย แม้ว่าไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบ ดังนั้นถ้า Bill Gate ตั้งปณิธานว่าจะเปลี่ยนโลก ก็ไม่ใช่เรื่องยากนักหรอก และอีกเรื่องก็คือ เค้ามีความรู้ ความเข้าใจในด้านทาง Computer และในสิ่งที่เค้ากำลังทำเป็นอย่างมาก ซึ่งเรื่องพวกนี้ มหาลัยมันสอนเค้าไม่ได้ สอนไม่ทัน และหลายวิชาที่เค้าคิดว่า เรียนไปก็ไม่ได้ประโยชน์หรอก เค้าเลยทำกิจการตัวเองอย่างเต็มที่ ด้วยความรู้ทั้งหมด(ที่มีอยู่มากกกกก) จึงสำเร็จ ไม่ใช่ว่าขี้เกียจเรียน เลยเลิก หนำซ้ำ เค้ายังเป็นคนที่พูดเองกับปากด้วยว่า อย่าเป็นแบบเค้า ขอให้เรียนต่อไป เค้าบอกเองว่า เค้าโชคดีมากที่เรียนไม่จบ แต่ทำงานได้เงินเยอะมาก 

Steve Jobs ก็เรียนไม่จบนะ สำเร็จเหมือนกัน

คนนี้น่าจะเป็น Idol หลายคนเลยทีเดียว คนนี้ ไม่ได้มีพ่อแม่รวยเหมือนกับ Bill Gate ดังนั้น ความสำเร็จเค้า ไม่ได้เกิดจากพ่อแม่ช่วยเหลือแน่นอน เค้าเรียนไม่จบ ซ้ำเรียนไปแค่ 6 เดือน ก็ลาออกเลย คือ ส่วนหลัก เป็นเรื่องของความสนใจ และ พฤติกรรมส่วนตัวของเค้า ที่เค้าเป็นคนที่โลกส่วนตัวค่อนข้างสูง มีบุคลิคภาพแบบแปลกๆ และเมื่อช่วงที่เรียนมหาลัย เค้าถูกบังคับให้เรียนตามหลักสูตรซึ่งเค้าบอกเลยว่าไม่เอา เค้าไม่ทำตามแน่นอน และเค้าก็ทำตามนั้นจริงๆ ก็คือ เลือกเรียนแต่วิชาที่เค้าสนใจ และมีประโยชน์กับเค้าเท่านั้น (ไม่ใช่ไม่เรียน คนละเรื่องกัน) คือต้องบอกว่าเค้าเป็นคนที่ จับจด และขวางโลกมาก อะไรที่เป็นสิ่งที่บอกต่อๆกันมา หรือเป็นความเชื่อ Jobs จะไม่เชื่อเลย เค้าจะต้องทดสอบ ทดลองเพื่อให้เห็นเองกับตาเท่านั้น โดย Jobs บอกเองว่า ตอนที่เค้าเลิกเรียนตามหลักสูตร เค้าก็ไปพบว่ามี class ที่สอนเรื่องการออกแบบตัวอักษร และเค้าก็เรียนมันทำให้เค้าออกแบบตัวอักษร ระยะห่าง ใน MAC ได้จนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่า เค้าเรียนและตั้งใจเรียนมากด้วย แต่เค้าไม่สนใจในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเค้าเลยเท่านั้นเอง และด้วยบุคลิคภาพที่เป็นคนมุ่งมั่น ชอบลองทำ ทำให้ในที่สุด เค้าก็ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ว่าเรียนไม่จบแล้วทำอะไรเรื่อยๆเปื่อยๆ แบบไม่มีความรู้แล้วจะสำเร็จได้

จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้ - ไอน์สไตน์

อันนี้เราจะเห็นบ่อยมากๆ ขึ้นป้าย banner billboard แผ่นพับ และอีกมากมาย คนส่วนใหญ่ก็ตีความเลย งั้นไม่ต้องเรียนมันแล้ว จินตนาการเอาสำคัญกว่า ทั้งๆที่ ไอน์สไตน์ คนที่เก่งมากๆระดับโลกบอกเองขนาดนี้แล้ว เราจะมัวเรียนอยู่ทำไมกัน
แต่ความเป็นจริงก็คือ จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้ ในมุมที่ ไอน์สไตน์เค้าบอก เพราะว่าเค้าเป็นคนที่เก่งมากๆ มากที่สุดของโลก คือเรียกได้ว่า ไม่รู้จะต้องเรียนรู้เรื่องอะไรอีกแล้วในตอนนั้น และความรู้ทั้งหมด มันก็ไม่ได้ช่วยให้เค้าทำอะไรใหม่ๆได้เลย ทำให้เค้าจึงหยุดคิดว่า ความรู้มันคงไม่ใช่คำตอบของเค้า เค้าเลยคิดว่า ลองจินตนาการดู เมื่อเค้าจินตนาการแล้วเป็นตัวตั้งต้น เค้าก็เอาความรู้ที่เค้ามีอยู่มากมายใส่เข้าไปในจินตนาการอันนั้น ทำให้จินตนาการมันเป็นจริงขึ้นมา นั่นต่างหาก ที่ทำให้เกิดคำที่สรุปสั้นๆว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ เรียกได้ว่าพลิกโลกเลยทีเดียว ถ้าเค้ามัวแต่มองแต่แก่นของความรู้อย่างเดียวเค้าก็จะติดอยู่ในเรื่องเดิมๆ มุมเดิมๆ ข้อจำกัดเดิมๆ จริงๆแล้ว มันก็เหมือนกับ นักวิทยาศาสตร์ และ วิศวกรนั่นแหล่ะ นักวิทยาศาสตร์ ก็คือคนกำหนดข้อกำหนด กฏเกณฑ์ต่างๆที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ส่วนวิศวกร ก็เอาหลักการต่างๆจากนักวิทยาศาสตร์มาสร้างสิ่งประดิษฐ์ โดยอาศัยจินตนาการเข้าไป เพื่อแก้ปัญหาแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นนั้น หรือเพื่อใช้หาคำตอบในเรื่องที่มองด้วยตาเปล่าแล้วไม่เห็น ไม่เข้าใจ
ดังนั้น ไม่ใช่ว่าไม่ต้องเรียนรู้ คุณคิดผิดครับ

นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเท่านั้น จริงๆยังมีคำเก๋ๆอีกมาก หรือ คนอีกมากมายที่สำเร็จได้โดยไม่ต้องเรียนให้จบ เช่น Mark Zuckerburg, Oprah Winfrey บลาๆๆ ที่ใช้เป็นคำโฆษณาชวนเชื่ออยู่ทั่วไป โดยเค้าไม่ได้อธิบายลึกๆ ว่ามันคืออะไรแน่ และคนไทยก็ไม่ชอบอ่านจบจน หรือ ยาวไปไม่อ่าน ทำให้ตีความแบบตื้นๆ ตามที่ตัวเองเข้าใจ แล้วก็เข้าใจผิด เอาไปใช้ผิด แล้วก็บอกต่อไปแบบผิดๆ แต่ความจริงก็คือ คำเหล่านั้น มันคือคำโฆษณา ที่เหล่านักการตลาดหยิบมาใช้เพื่อขายของครับ 

เพราะว่าเวลาจะขายของ มันก็ต้องสร้างความโดดเด่น ในกรณีนี้คือความขัดแย้ง เช่น ไม่ต้องเรียนก็รวยได้, ไม่ต้องทำงานก็มีกิน หรืออะไรแบบนี้ เค้าเอาผลลัพท์ที่มันสำเร็จแล้ว มาตีความย้อนกลับไปในมุมที่ย้อนแย้ง เช่น นักธุรกิจประสบความสำเร็จ รายได้เดือนละล้าน จากเมื่อก่อน เป็นเด็กติดเกม แต่พอคุ้ยประวัติดูดีๆ พบว่า บ้านเค้ารวยมาก และญาติ รวยยิ่งกว่า โดยญาติไปเอาเทคโนโลยีการผลิตจากญี่ปุ่นมา แล้วตั้งฐานการผลิตในไทยแข่ง แต่ว่าออกชื่อตัวเองไม่ได้ เพราะจะโดนทางญี่ปุ่นฟ้อง ทำให้ต้องอาศัยชื่อของหลานในการเป็นตัวชูโรง แล้วก็คอยเชิดอยู่ข้างหลัง ความแตกก็ตอนที่คนที่ดิวงานด้วยจึงเห็นภาพว่า เด็กคนนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไร และไม่เคยทำอะไรได้อย่างที่ตัวเองพูดเลย (เพราะความคิดทั้งหมดไม่ใช่ของตัวเอง)

เราต้องพิจารณาให้ดี ว่ากรณีแบบนั้น มันทำกันได้ทุกคนหรือเปล่า แน่นอน เราไม่ใช่คนแรกที่คิดลอง เพราะว่าถ้าเรื่องพวกนี้ขนาดตีพิมพ์เป็นหนังสือได้ คนเป็นเรื่องที่นานเป็นปีๆ แล้ว และไม่คิดว่าจะมีคนรู้ก่อนเรา แล้วไปทำก่อนเราแล้วสำเร็จจริงๆแล้วหรือ? หรือว่าคนที่อ่านหนังสือพวกนั้นก็คงสำเร็จทุกคนแล้วสิ จริงหรือเปล่า?

กลับมาพิจารณาเรื่องทั้งหมดที่ผมเล่าในตอนนี้ให้ดีๆแล้วจะพบอย่างหนึ่งว่า ทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับคนที่กระทำนั้นเอง ว่าเค้าเป็นใคร ในแนวทางเดียวกัน ไม่ใช่ว่าทุกคนทำแล้วจะประสบความสำเร็จ ลองคิดดูสิครับ Steve Jobs มีหนังสือประวัติเค้าตั้งมากมาย และคนบนโลกใบนี้ก็รวยกว่าเราเยอะมากๆ ทำไมเค้าไม่เลียนแบบแนวทาง Jobs จนสำเร็จมาเล่าเรื่องให้ฟังเป็น Jobs 2 ,Jobs3 บลาๆบ้างแล้วล่ะ?

ทั้งนี้ ผมไม่ปฏิเสธ ว่าข้อความเหล่านี้ มันเติมเชื้อไฟ มันจูงใจเราได้ นั่นถูกต้องเลยครับ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ดีด้วย แต่ว่าอยากให้ใช้สติพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน เพราะถ้าเราเชื่อแบบไม่เข้าใจ มันจะทำให้เราเดินทางผิดไปได้ เช่น จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้ = งั้นไม่ต้องเรียน ผิดเลยครับ ต้องทำความเข้าใจ และทำให้มันเป็นแรงบรรดาลใจในแบบที่ถูกต้องจึงจะได้ผล (กรณีนี้คือเราต้องหาความรู้ให้มากๆ จนเมื่อความรู้ไม่สามารถตอบสิ่งที่เราต้องการได้อีกแล้วจึงต้องใช้จินตนาการ)

ในยุคที่เข้าถึงข่าวสารเนื้อหาได้รวดเร็วและตลอดเวลา ไม่ต้องรอข่าวต้นชั่วโมงอีกต่อไปอย่างในปัจจุบัน เราจะต้องใช้หลัก กาลามสูตรของพระพุทธศาสนา ในการกลั่นกรองเรื่องนั้นๆก่อน ก็จะทำให้เราไม่เป็นคนหูเบาอีกต่อไป

Create: Modify : 2015-07-13 11:48:01 Read : 8884 URL :